1. บริการออกแบบเว็บไซต์ด้วย WordPress
2. บริการออกแบบแบนเนอร์สินค้า
3. บริการดูแลเพจ Facebook รายเดือน
4. บริการยิงโฆษณา Google Ads, Facebook, IG, Tiktpk
5. บริการแก้ไขเว็บไซต์ติดไวรัสและมัลแวร์
6. บริการดูแลเว็บไซต์ทั่วไป

1. ทำเว็บไซต์เริ่มต้นเพียง 5,500 บาท
2. ออกแบบแบนเนอร์ เริ่มต้นเพียง 300 บาท
3. ดูแลเพจFacebook รายเดือน เริ่มต้นเพียง 5,900บาท
4. บริการยิงโฆษณา เริ่มต้นเพียง 3,000 บาทไม่รวมค่าโฆษณา
5. บริการแก้ไขเว็บไซต์ติดไวรัสและมัลแวร์ เริ่มต้นเพียง 6,500 บาท
6. บริการดูแลเว็บไซต์รายเดือน เริ่มต้นเพียง 3,500 บาท

เว็บไซต์โดนแฮกหรือล่มอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้:

1. มีคนเข้าใช้งานมากเกินความสามารถของ Server และ Application: เมื่อมีผู้ใช้งานเข้ามามากเกินไป ทำให้เซิร์ฟเวอร์และแอปพลิเคชันไม่สามารถรับข้อมูลและประมวลผลได้ ส่งผลให้เว็บล่ม

2. โดน Hack หน้าเว็บ Redirect ไปเว็บอื่นของแฮกเกอร์: แฮกเกอร์อาจเข้ามาเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ให้เปลี่ยนทิศทางไปยังเว็บอื่นที่พวกเขาควบคุม ทำให้เว็บไม่สามารถให้บริการได้

3. โดนเปลี่ยน code เว็บ ใน Server: แฮกเกอร์อาจเข้ามาเปลี่ยนโค้ดในเว็บไซต์ในเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เว็บแสดงผลผิดพลาด หรือไม่สามารถทำงานได้

4. โดน DDoS Attack: การโจมตีด้วย DDoS (Distributed Denial of Service) ทำให้เซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถรับข้อมูลจากผู้ใช้งานได้ และทำให้เว็บล่ม

หากคุณกำลังพัฒนาเว็บไซต์ ควรให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตี และควรมีระบบไอทีและอุปกรณ์ป้องกันที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงอบรมพนักงานให้ตระหนักถึงความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อยู่เสมอ

เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดมัลแวร์ ควรดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้:

1. การสำรองไฟล์ข้อมูลเว็บไซต์ (Backup): สำรองข้อมูลเว็บไซต์ของคุณเพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูล

2. การลบไฟล์ที่ต้องสงสัยว่า Malware และฐานข้อมูลออกจากเซิร์ฟเวอร์: ตรวจสอบไฟล์ที่อาจมี Malware และลบออกจากเซิร์ฟเวอร์

3. การลบและติดตั้ง WordPress ใหม่: ลบตัวติดตั้ง WordPress เดิมและติดตั้งใหม่

4. อัปโหลดไฟล์ฐานข้อมูลและไฟล์ในเซิร์ฟเวอร์ที่สำรองไว้: คืนค่าข้อมูลจากการสำรอง

5. ติดตั้ง Themes และ Plugin ใหม่อีกครั้ง: ติดตั้ง Themes และ Plugin ที่มีความปลอดภัย

6. ติดตั้ง Security Plugins (ระบบความปลอดภัย): ใช้ Plugins ที่ช่วยป้องกันมัลแวร์และเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์

7. รีเซ็ตชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน WordPress สม่ำเสมอ: ปรับปรุงรหัสผ่านเป็นประจำเพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต

ควรทำการอัปเดตระบบและโปรแกรมที่ใช้บนเว็บไซต์เพื่อป้องกันช่องโหว่ที่อาจเปิดทิ้งไว้ และเลือกใช้โฮสติ้งที่มีระบบป้องกันมัลแวร์และช่วยเหลือในกรณีที่เว็บไซต์ติดมัลแวร์

การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้มีโอกาสติดอันดับสูงในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google และ Bing ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสในการปรากฏอยู่ในลำดับต้นๆของผลการค้นหา ด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำ SEO ให้ดี:

1. กำหนดจุดประสงค์การทำ SEO: ก่อนที่คุณจะเริ่มทำ SEO ควรกำหนดว่าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จในด้านใด ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มยอดขาย การเพิ่มความรู้สึกในแบรนด์ หรือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์

2. จัดทำ Keyword Research: ค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ และใช้คำค้นหาเหล่านี้ในเนื้อหาของเว็บไซต์

3. ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure): สร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตรต่อการทำ SEO โดยให้มีลิงก์ภายในเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกันอย่างเหมาะสม

4. ปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ (On-Page SEO): ปรับแต่งเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง และให้มีการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์

5. สร้าง Backlink คุณภาพ (Off-Page SEO): สร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ โดยให้เป็นลิงก์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง

6. หมั่นอัพเดตบทความที่มีเนื้อหาสอดคล้องและถูกหลัก SEO ไม่ทำการสแปมเนื้อหา
7. ตรวจสอบผลลับ การจัดอันดับสม่ำเสมอ
8. นำคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาบนเว็บไซต์ของเรา มาทำคอนเทนต์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงที่ดียิ่งขึ้น